ยินดีต้อนรับสู่โลกของเสียงเพลง

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Bass

             Bass

       เบส เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ในทางสากลสามารถเรียกได้ทั้ง electric bass (เบสไฟฟ้า) , electric bass guitar (กีตาร์เบสไฟฟ้า) หรือเรียกสั้นๆว่า bass (เบส) ลักษณะของเบสจะมีรูปร่างใหญ่กว่ากีตาร์ มีโครงสร้างของคอที่ใหญ่และยาวกว่า มีย่านความถี่เสียงต่ำ มีหน้าที่โดยหลักๆในการให้จังหวะ คือคุมจังหวะตาม rhythm, line, pattern และ groove ของดนตรี ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายระดับความสามารถการเล่นให้สูงขึ้นตามแนวเพลงและการประยุกต์ใช้ต่างๆ เช่น เทคนิคการ Slap หรือการตบเบส (รวมไปถึงเทคนิคอื่นที่ใช้ร่วมกันกับการ Slap) ในดนตรี Funk, Jazz และอีกหลายแนว การ Tapping การเดิน Improvising การเล่น Harmonics การเล่น Picking เป็นต้น
เบสไฟฟ้าจัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดหลังเครื่องดนตรีอื่นๆในประเภทวงสตริงคือสร้างขึ้นหลัง กีตาร์ กลอง คีย์บอร์ดหรือซินธิไซเซอร์ (รายละเอียดจะมีในหัวข้อประวัติ) เครื่องดนตรีประเภทเบสที่ใช้กันในวงดนตรีและแนวต่างๆก็จะมี เบสไฟฟ้า เบสโปร่งไฟฟ้า fretless bass (เบสไม่มีเฟรต) และ double bass, upright bass บ้างทีก็เรียกกันว่า acoustic bass แต่ก็มีภาษาพูดเรียกกันติดปากสำหรับนักดนตรีบางคนว่า เบสใหญ่
เบสไฟฟ้าที่ใช้โดยทั่วไปจะมี 4 สาย 5 สาย และ 6 สาย ส่วนสายที่มากไปกว่านี้ก็มีเนื่องจากนักดนตรีบางคนอาจจะออกแบบเพื่อประยุกต์ใช้ทางการเล่นเฉพาะตัว
เบส 4 สายการตั้งสายตามมาตรฐานคือ E-A-D-G (เรียงจากต่ำ-สูง) เบส 5 สายคือ B-E-A-D-G ส่วน 6 สายคือ B-E-A-D-G-C แต่อย่างไรก็ตามเบสก็ได้ถูกขยายขอบเขตออกไปตามแนวคิดและการประยุกต์ใช้ของมือเบสต่างๆ จำนวนสายก็อาจจะมีอื่นๆอีก เช่น 3 สาย, 7 สาย, 8 สาย ,9 สาย เป็นต้น
ประวัติ

เมื่อกล่าวถึง Bassline เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรี โดยเริ่มได้ยิน เช่นในบทเพลงของ J.S. Bach ระหว่างปี 1685-1750 ซึ่ง bassline มีความ สำคัญเฉกเช่นเดียวกับในส่วนของ soprano , alto , tenor เลยที่เดียว โดยในดนตรีคลาสสิก และออร์เคสตรา เสียงเบสจะถูกกำหนดขึ้นโดยเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า upright bass หรือ bass viola ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรกในโลก
ต่อมาเมื่อเริ่มมีดนตรีของคนแอฟริกัน คือ Ragtime (ดนตรีแนวเต้นรำของชาวแอฟริกัน) และ New Orleans Jazz โดยมีอุปกรณ์เสียงต่ำที่เล่นจาก brass bass และ tuba เนื่องจากเป็นการเล่นโดยใช้ลมหายใจในการเป่า ที่ใช้ทูบาในการเล่นเป็นจังหวะ 2 beat ใน 1 bar และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพลง jazz และเพลงเต้นรำ
เมื่อเพลงแจ๊ซมีการพัฒนาและเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเป็นจังหวะ swing ในปี 1935 การแต่งและการเรียบเรียงดนตรีจึงเกิดมีความซับซ้อนและยุ่งยากตามมา แต่ในขณะนั้น ได้มีในงานดนตรีที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงแจ๊ซ เช่น Duke Ellington , Count Basie and Benny Goodman และจังหวะแบบ 4 จังหวะ ใน 1 ห้องเพลง เริ่มเป็นที่แพร่หลายและนำไปใช้กันมากขึ้น ตั้งแต่ที่ brass bass ไม่สามารถที่จะเล่นในจังหวะนี้ได้ Acoustic upright bass จึงได้เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขึ้นมาแทนที่ brass bass อย่างไรก็ตาม Acoustic upright bass ก็มีข้อจำกัดของมันเองอยู่เหมือนกัน ในเรื่อง ของลำตัวที่ค่อนข้างใหญ่พกพายาก และมีน้ำเสียงที่ไม่สามารถดังดีพอและเหมาะสมในการเล่นร่วมกับวงดนตรีประเภท Big band ที่มีเครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น เช่น brass จำนวน 7 ตัว ,เปียโน ,กีต้าร์ กลอง สิ่งนี้จึงมีการเกิดปัญหาต่อในหมู่คนเล่นเบส
ต่อมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์ เบสไฟฟ้าขึ้นมาตัวแรกของโลก เบสไฟฟ้าตัวแรกของโลก ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย Clarence Leo Fender ในปี 1951 จากบริษัท Fender Musical Intrumental Company (บริษัทเดียวกับที่ผลิตกีตาร์ Fender) ร่วมกันผลิตเบสที่มีชื่อรุ่นว่า Precision bass โดย Leo Fender ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหาของเบสรุ่นเก่าที่มีปัญหาในเรื่องของเสียงและขนาดที่ใหญ่ของ Acoustic upright bass ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อรุ่นว่า Precision bass เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ที่แปลว่า "เบสที่มีความกระชับ " โดยมีการใช้เฟร็ทติดลงบน Fingerboard และ แก้ไขในเรื่องของน้ำเสียงให้ดีขึ้น

American Vintage ‘62 Precision Bass?
Leo Fender กล่าวว่า "พวกเราต้องให้ความเป็นอิสระแก่มือเบสจาก Acoustic upright bassการผลิตเบสจึงเป็นการเกิดอุตสาหกรรมการผลิตเบสขึ้นเป็นครั้งแรก โดยความร่วมมือกับ George Fullerton Precision Bass รุ่นนี้มีการสร้างเฟรทที่ลำคอ มีลักษณะเป็น slab-bodied และ มี 34" scale ต่อมาเบสรุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีระดับโลก ในทุก ๆ แขนงทางดนตรี เช่น Monk Montgomery ,Shifti Henri ,Dave Myers
วงของ Vibist Lionel Hampton นับเป็นรุ่นแรกที่นำ P-Bass ไปใช้ในการแสดง โดยมือเบสของเขา คือ Roy Johnson และเบสตัวนี้มีเสียงที่ออกมาได้อย่างน่าทึ่งมาก จากคำวิจารณ์ของ Leonard Feather ซึ่งได้เขียนในนิตยสาร Down Beat เมื่อ 30 กรกฎาคม 1952 หลังจาก Roy Johnson ออกจากวงของ Hampton Monk Montgomery จึงเป็นบุคคลแรกที่สามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นจากเบสตัวนี้ แต่เขาก็ยังคงใช้ upright bass ในการเล่นควบคู่กันไปในวงของเขา กับมือกีตาร์คือ Wes Montgomery (มือกีตาร์ฝีมือดีแห่งวงการ) ซึ่งเป็นน้องชายเขา
นอกจากนี้ นักดนตรี Blues ก็นำเอาเบสรุ่นนี้ไปใช้ในบทเพลงเช่นเดียวกัน โดยในปี 1958 Dave Myers ได้นำ Precision Bass ไปใช้ในการบันทึกเสียงเบส ที่สร้างความสำเร็จให้แก่นักดนตรี Blues สมัยนั้นอย่างมากมาย โดย เขาได้พูดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1998 ว่า "ผมสร้างความประสบความสำเร็จให้กับ Fender Bass.."

มาเรียนเบสกันครับ

สวัสดีครับ มาติดตามกันต่อกับบทความเพื่อ ฝึกเริ่มเล่นเบส คราวที่แล้ว ได้ พูด ถึง ตัวโน๊ต โด เร มี ฟา ซอล ...กันไปแล้ว ส่วน ความยาวตัวโน๊ตก็พูดถึง ตัวกลม ตัว ขาว และ ตัว ดำ บทความนี้จะขอพูดถึงเกี่ยวกับตัวโน๊ตอื่นๆ นอกเหนือจาก 7 ตัวนี้ จนครบ 12 ตัว แต่ยังจะเล่นเป็นตัวอย่างโดยใช้ ตัวกลม ตัวขาว ตัวดำครับ และจะพูด ถึง ความหมายของคีย์ สเกล และคอร์ดเบื้องต้น ลองติดตามกันดู


ในดนตรีสากล เครื่องดนตรี ส่วนใหญ่สามารถ จะเล่น โน๊ตได้ มากกว่า 7 ตัว มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่สามารถ เล่นโน๊ต ได้ ครบ ทั้ง 12 ตัวโน๊ต ทำให้สามารถเล่นได้ทุกคีย์ (คำว่าคีย์จะอธิบายอีกที)
เปรียบเทียบกับ เครื่องดนตรี ไทยก็ได้ครับ ส่วนใหญ่ เครื่องดนตรีไทย มีโน๊ต ไม่ครบ 12 ตัว ทำให้ เล่นเพลงสากลไม่ได้ ต้องปรับ เพลงในบางส่วน ถ้า เพื่อมาเล่นกะดนตรีสากลครับ แต่ก็เคยได้ยินว่า "แคน"เครื่องดนตรีภาคอีสานของเรา สามารถ เล่นโน๊ตได้ครบ 12 ตัวครับ ในส่วนของเบสกีตาร์ สามารถ เล่น ตัวโน๊ตได้ทุกตัวครับโน๊ตทั้ง 12 ตัว ครับ ตัวโน๊ตก็มีดังนี้ คือ



1. C โด
2. C# , Db โด ชาร์ป หรือ เร แฟร็ต
3. D เร
4. D# ,Eb เรชาร์ป หรือ มี แฟร็ต
5. E มี
6. F ฟา
7. F# , Gb ฟา ชาร์ป หรือ ซอล แฟร็ต 
8. G ซอล
9. G# , Ab ซอล ชาร์ป หรือ ลา แฟร็ต
10. A ลา
11. A# ,Bb ลาชาร์ป หรือ ที แฟร็ต
12. B ที
โน๊ตทั้งหมดจะ วางอยู่บนเฟร็ต หรือฟิงเกอร์บอร์ด ตามรูปด้านล่างนี้ ส่วน จากเฟร็ต 12 เป็นต้นไปก็เรียงโน๊ตไปเหมือนกัน (มองเฟร็ต 13 เท่ากับเฟร็ต1 เฟร็ต 14 เท่ากับ เฟร็ต 2 ไปเรื่อยๆ จนถึง เฟร็ต 24 เท่ากับเฟร็ต 12 นะเอง ครับ) 

เครื่องหมายที่ตามหลังตัวโน๊ตมาหรือ (Accidental) เครื่องหมาย # ให้อ่านว่าชาร์ป หมายถึง เล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ สูง ขึ้น ครึ่งเสียง (1เฟร็ต) 
เครื่องหมาย b ให้อ่านว่า แฟร็ต หมายถึงเล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ต่ำว่า ครึ่ง เสียง (1 เฟร็ต) 
Tips ให้มองว่าโลกนี้ มี โน้ตด้วยกัน 12 ตัวครับ จะได้เข้าใจง่ายๆ ครับ ไม่ใช่ 7
โน๊ตทั้ง 12 ตัว พอเรียงกัน ก็เรียกว่า บันไดเสียง (Scale) โครมาติค ส่วนตัว ผม จะมองว่า Scale นี้ มันเป็น พื้นฐาน ให้ Scale อื่น ๆ คือรวมโน๊ตทุกตัวมากกว่าครับ เป็นเหมือนตารางที่ห่างเท่าๆกัน ทุกครึ่งเสียง ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไร 
Tips ข้อสังเกต คือ โลกนี้จะไม่มีใครพูดตัวโน๊ตที่ว่า E# หรือ Fb , B# หรือ Cb มีแต่พูดตอนเรียนทฤษฎี(ลึก)เท่านั้น โลกความเป็นจริงไม่มีโน๊ตเหล่านี้ เพราะ E# มันคือ F ,Fb มันคือ E, B#มันคือC , CbมันคือB
ต่อไป มาพูดถึง คำว่าคีย์กันครับ

คีย์ Key ก็หมายถึง กลุ่มตัวโน๊ต ที่ถูกนำใช้ โดยมากในเพลงนั้นๆ ถ้าบอกว่าเพลงนี้คีย์ C กลุ่มตัวโน๊ตที่เอามาเล่นในเพลงก็อยู่ ใน 7 ตัว ก็คืออยู่บน C Major Scale มีโน๊ตคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที และคอร์ด ที่เล่นก็จะสัมพันธ์กันกะสเกลนี้ หรือ ก็คือ เอามาจากโน๊ต 7 ตัวใน คีย์นั่นเอง ที่ใช้คำว่าโดยมาก เพราะ เพลง ๆนึงไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้โน๊ตแค่ 7ตัวเท่านั้น ยังสามารถ เพิ่ม คีย์ เปลี่ยนคีย์ เอาคอร์ดส่งอื่น ๆมาใช้ เกิด ตัวโน๊ตใหม่ๆ เข้ามาในคีย์ บางคนโซโล่โดยใช้โหมดซึ่งจะได้โทนใหม่ ซึ่งแน่นอน มีโน๊ตเข้ามามากขึ้น สรุปว่า อย่ายึดติดครับ 
--------จงทำความเข้าใจคำว่า คีย์ และ Scale ให้ดี มันเกี่ยวข้องกับโน๊ต 7 ตัวเดียวกันแต่ในคนละลักษณะอ่ะครับ--------------
แต่มีข้อสังเกตคือ 1 เพลง ไม่จำเป็น ต้องเล่นโน๊ต แต่ในคีย์นั้นก็ได้ จะเล่น โน๊ตแค่ 5 ตัวใน คีย์ก็ได้ หรือจะดึงตัวโน๊ตนอกคีย์มาเล่นก็ได้ จะ เปลี่ยน คีย์ไปมาก็ยังได้ ครับ ไม่ได้บังคับครับ บางคนบอกเพลงของผมไปซ้ำกะคนอื่น เพราะ โน๊ตมันมีแค่ 7 ตัว ให้ทำไง ผมว่า คนพูดงี้มันไม่ได้เรื่องอ่ะครับ
คงเข้าใจคำว่าคีย์แล้วนะ ต่อไป มาดูโน๊ตใน คีย์ ทั้ง หมดกัน
คีย์ C มีโน๊ต C D E F G A B C
คีย์ D มีโน๊ต D E F# G A B C# D 
คีย์ E มีโน๊ต E F# G# A B C# D# E
.... อ๊ะ! ไม่บอกหรอก บอกไปคุณก็จำไม่ได้
ไม่ต้องจำตอนนี้ครับ แต่ให้ทำตามวิธีนี้้ ครับ
การหาตัวโน๊ตในคีย์ หรือ Scale แล้วก็ให้ไล่ดีด ตามฟอร์มนิ้วเดิมครับ แต่เปลี่ยน Root ไป คีย์ที่ต้องการครับ ก็จะเฉลยโน๊ตที่ เราต้องการออกมา
เช่นผมจะไล่ Scale Major โดยวางนิ้ว ฟอร์มตามนี้ 2 4 - 1 2 4 - 1 3 4 เหมือนตัวอย่างคราวที่แล้วนะ
1 คือ นิ้วชี้(ซ้าย) 
2 คือ นิ้วกลาง
3 คือ นิ้วนาง
4 คือ นิ้วก้อย
- ขีดคือ เปลี่ยนสายนะ ดูตามวีดีโอครับ 



จำไปเลยนะ 2 4 1 2 4 1 3 4 เป็น พื้นฐาน ให้เล่นจนแก่เลย กลาง ก้อย - ชี้ กลาง ก้อย - ชี้ นาง ก้อย เข้าใจแล้วนะ
ต่อไปจะอธิบายคำว่าราก หรือ รูท การเริ่มดีดโน๊ตตัวแรกในสเกลตามวีดีโอก็คือ นิ้ว 2 (นิ้วกลาง) ตัวแรก หรือโน๊ตที่ดีดตัวแรกของสเกล ให้เรียกว่า Root นะ ตัวโน๊ตตัวต่อ ไปที่ได้ ก็ให้เรียกว่า ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ตัวที่ 5....ไปเรื่อย ๆครับ
R 2 3 4 5 6 7 8
C D E F G A B C
อันนี้ คือ บันไดเสียง C Major
D ก็เป็นตัวที่ 2 ของ C Major
E ก็เป็นตัวที่ 3 ของ C Major
... ไล่ไปเรื่อยๆ 
เข้าใจแล้วนะ แล้วก็ลอง อย่างนี้ เลื่อน ไอ้ 2 4 1 2 4 1 3 4 เปลี่ยน Root มันไป ตามท่ต้องการ 


เปลี่ยน ไป D ซิ ก็จะได้ D major ไป E ซิ ก็ได้ E major ไป F (ตามวีดีโอด้านบน) ซิ....แล้วทำเองให้ครบ12 คีย์ 2 4 1 2 4 1 3 4 เหมือนเดิม (เหมือนใส่เสื้อตัวเดิม แต่ เปลี่ยนคนใส่) ก็ จะได้ โน๊ต ใน สเกล Major ของ รูท ๆนั้นทั้ง่หมด พอนิ้วเราไปแล้วก็จะเฉลยตัวโน๊ตในคีย์ออกมาทั้งหมดครับ ถ้าใครยังจำโน๊ตบนเฟร็ตไม่ได้ก็กลับไปดูตารางด้านบน หรือ ทบทวนบทความที่แล้วๆ มานะครับ จากนี้ คุณก็จะเขียน ตัวโน๊ตใน สเกล เมเจอร์ ทั้ง 12 คีย์ออกแล้วนะ นั่งทำเป็นการบ้านดูครับ
เวลาที่เรา เลื่อน Root ไป ข้างหน้า หรือ ข้างหลัง เค้า เรียกศัพท์ ภาษาอังกฤษ ว่า Tranposition หรือ Transpose ทรานสโพส หรือว่า เลื่อนคีย์ นะเอง
อย่างเพลงนี้ เล่นอยู่ในตัวโน๊ตของ Cmajor (คีย์ C) เพื่อน บอก Tranpose ขึ้น ครึ่งเสียง บางคนเรียกว่าเพิ่มคีย์ นั่น หมายความว่า เลื่อน C major ให้ เป็น C# major โน๊ตทั้ง 7 ตัวก็โดนเลื่อน ขึ้น ครึ่งเสียงหมดเลย ทุกตัวเลื่อนหมด ได้กลุ่มตัวโน๊ต ใหม่ แต่สำหรับเบสเราไม่ต้องสนใจก็ได้ เราแค่เลื่อนมือ แล้วเล่นโน๊ตในโครงสร้างที่เหมือนเดิม(หน้าตาเหมือนเดิม) หลับตาเล่น แล้วเล่นเหมือนเดิมก็เท่านั้น (อันนี้เป็นข้อดีของ เครื่องดนตรีแบบ Fret เช่น เบสหรือ กีต้าร์ แต่ถ้าเป็น เปียโน การ Transpose ยากเหมือนกัน เพราะ ต้องรู้ว่ามีโน๊ตไรบ้าง ยกเว้น คีย์บอร์ดไฟฟ้า ที่สามารถใช้ ตัวอิเล็กทรอนิคส์เครื่องเข้ามาจัดการ ทรานสโพสต์ได้)
Tips การ Transpose ลงหรือขึ้น เดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนี้เวลาเล่นสด เช่นนักร้องต้องการให้ลดคีย์ หรือไปแจม บลูส์กะเพื่อน หรือว่า เพลงนั้นเพลงนี้ มีการเล่นลดเสียง ส่วนใหญ่ นักดนตรีจะง่อยรับประทาน มึความกลัวมากๆ ซึ่งเป็นเป็นจุดอ่อนมากๆ ครับ มันเป็นเบสิคที่สำคัญครับ น้องๆ ฝึกเข้าไว้นะ จะได้แซงรุ่นพี่ครับ ถ้าในวงบอกเอา คีย์ไหนเราก็เล่นได้ ทั้งเพลง อันนี้ ถือว่ามีความเป็นโปรอย่างมากเลยครับ 
แนะนำการฝึก ลอง เปิด หนังสือเพลง ครับ เล่นเพลง เดิมแต่ลองเลื่อนขึ้นหรือ ลงเลยครับ ดูคอร์ด ไปแล้ว คิด ทรานสโพสต์ ทันทีฝึกให้คล่องๆ ครับเพื่อใช้ใน สถานะการณ์จริง อันนี้อย่าคิดว่ายากนะ จงพยายามครับ
สรุป สมมุติ ถ้า นักร้อง ร้องไม่ไหว เสียงสูง จัด เค้า บอก ให้เลื่อนลง ครึ่ง คีย์ซิ ก็หมายถึง ถ้าเพลงนั้นเป็นคีย์ B major เลื่อนลง เสียงนึงเลย ก็ Bbmajor เข้าใจยังขอรับ
หรือ บางเพลง ในเพลงเดียวกัน มีการเปลี่ยน คีย์ ก็มี เป็น เรื่องปกติมาก เลยครับ ดังนั้น หน้าที่ของคุณคือทำความคุ้นเคยกะ คีย์ให้ดีครับ อย่างน้อย ๆคีย์ ที่เค้าเล่นกัน หลัก ๆต้องพอจำให้ได้ว่ามีโน๊ตไรบ้างครับ จะทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีครับ
คีย์ หลัก ๆ ที่ต้องฝึกกัน ก็ C G D A E F Bb Eb

การดูว่าเพลงนั้น เพลงนี้ คีย์ไหน ส่วนใหญ่ จะ ดู ว่าคอร์ด แรก คอร์ด อะไร ครับ แต่ ก็อาจจะพลาดได้นะ เราต้องดู กลุ่มตัวโน๊ต หรือ กลุ่มคอร์ด ว่าสัมพันธ์กะคีย์ไหนสุด ถึงจะชัวร์กว่าครับ บางเพลงเอาท่อนอื่นๆ มาขึ้น บางเพลง มีการเปลี่ยน คีย์ การดูแต่เฉพาะ คอร์ดแรก ก็มีโอกาสผิดสูงครับ
ต่อไปจะเริ่มอธิบายคำว่าคอร์ด 
คอร์ด คือ กลุ่มตัวโน๊ต 3 ตัว ขึ้นไป มาอยู่ด้วยกัน มาอยู่รวมกัน หรือ ประสานสียงกัน 1 คอร์ด ประกอบขึ้น จาก โน๊ต 3 ตัวขึ้นไป ลักษณะของตัวโน๊ตที่มีรวมกันเป็นคอร์ด จะอยู่ห่างๆ กันครับ ถ้าสมมุติมีตัวโน๊ต เรียงไปตามสเกล ไปเรื่อยๆ (2 Octave) ตามนี้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 คอร์ด โดยมากจะมี โครงสร้างเป็น 1 3 5 , 1 3 5 7, 1 4 5, (เป็นตัวโน๊ตที่ค่อนข้างห่างกันหน่อย) จะไม่มีคอร์ด แบบ 1 2 3 แน่นอนครับ ตัวโน๊ตมันใกล้กันจนกัดกันครับ (ลองไปกดคีย์บอร์ดดู ว่าเสียงเป็นแบบไหน)
กลุ่มของคอร์ด ให้มองเป็นตามนี้ครับ ให้เริ่มมองตามนี้ 
คีย์ C major (หรือเรียกคีย์ C เฉยๆ ) มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
คอร์ด 3 เสียง หรือ Triad (1คอร์ด มี 3 ตัวโน๊ต) มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
คอร์ด 4 เสียง หรือ Tetra-ad (1คอร์ด มี 4 ตัวโน๊ต) มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7 
ยกตัวอย่างการอ่านชื่อคอร์ด 
C อ่านว่าคอร์ด ซี หรือคอร์ด ซีเมเจอร์ แต่ไม่จำเป็นต้องอ่านว่าคอร์ด ซีเมเจอร์ครับ เพราะ รู้กันอยู่แล้วว่าเป็น เมเจอร์ ถ้าไม่ได้พูดอะไรต่อท้าย
Dm อ่านว่า คอร์ด ดี ไมเนอร์ (ห้ามเขียนตัวเอ็มด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เพราะ ถ้าตัวพิมพ์ใหญ่ จะหมายถึง เมเจอร์)
Bdim ให้อ่านว่า บีดิม หรือ บีดิมมินิช
Em7 ให้อ่านว่า อีไมเนอร์เซเว่น (การเขียนตัวเลขเจ็ด ห้ามมีขีดกลางครับ จำไว้เลยครับ)
Fmaj7 ให้อ่านว่า เอฟเมเจอร์เซเว่น
G7 ให้อ่านว่า จี เซเว่น ชื่อจริงๆ มันคือ โดมิแน้นท์เซเว่น แต่ไม่จำเป็นต้องเรียกครับ
Bm7b5 ให้อ่านว่า บีไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟว์
Tips Triad มีโน๊ต 3 ตัว เป็นส่วนหนึ่ง (Subset) ของ Tetra-ad มีโน๊ต 4 ตัว
การบ้าน คือ จากที่เราหา โน๊ต ใน บันไดเสียง เมเจอร์ โน๊ตในคีย์เป็นแล้ว พอหาออกมาได้ 12 คีย์แล้ว ก็มา หัดใส่ สกุลคอร์ด ให้ กับตัวโน๊ตนั้นๆ ก็จะได้ กลุ่มคอร์ด ของทุกคีย์ออกมา
วอย่าง คีย์ C major มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
Triad มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
Tetra-ad มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7 
ลองหาคีย์อื่นๆดู ลอง G major มีโน๊ตไรบ้างลองไล่ดิ๊ 24 -124 -134 อ่ะ ได้โน๊ต
G A B C D E F# G (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนโน๊ตเดี่ยวๆ)
ใส่ชื่อคอร์ด (เสื้อ)Triad และTetra-ad เลียนแบบในคีย์ C เหมือนเดิม(ตัวเดิม)
ก็ได้ 
G Am Bm C D Em F#dim G และ 
Gmaj7 Am7 Bm7 Cmaj7 D7 Em7 F#m7b5 G
ก็จะได้ โน๊ตและกลุ่มคอร์ดออกมา ถ้าเราคุ้นเคยกะกลุ่มคอร์ดของคีย์นั้นๆ หรือ คุ้นเคยกะโน๊ตในคีย์นั้น ก็จะรู้ว่าเพลงนี้ ท่อนนี้กะลังเล่น คีย์อะไรอยู่
สิ่งที่ คุณต้องจำก็คือ คอร์ดที่ 1 หรือ Root จะเป็น คอร์ด Maj นะ คอร์ด ที่ 2 เป็น Minor นะ คอร์ด ที่ 3 จะเป็น Minor คอร์ด ที่ 4 เป็น Major....แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เสื้อเหมือนเดิมแต่เปลี่ยน Root นั่นเองครับ ลองไล่กันดู หรือจะจำว่า อ้อ เจอ คอร์ด D ในคีย์ C มันไม่ใช่ D Major มันต้องเป็น D minor สิ หรือ เจอ คอร์ด E ในคีย์ G โห่บอกไปเลยว่าต้องเล่น Em แต่ว่า อย่าลืมคำว่าคอร์ด นอกคีย์นะ เพราะสามารถมีได้ อย่างเพลง หยุด ของ Groove riders เพลงนี้คีย์ C แต่ คอร์ด D ดันเป็น เมเจอร์อ่ะ อันนี้ มีการใช้ทฤษฎีอื่นเข้ามาเพิ่มสีสันในเพลงครับ ส่วนกลุ่มคอร์ดพวกนี้มาจากไหน ไว้จะอธิบายทีหลังแล้วกัน เอาเป็นว่า โน๊ตที่ประกอบขึ้นมาเป็นคอร์ด มันก็อยู่ใน 7 ตัว ของคีย์มันเองนั่นแหล่ะ
ต่อไป เอาการบ้านเก่ามาทำกัน 
การบ้าน ครับ เล่นเบส ตามคอร์ดต่อไปนี้ และ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ เล่นโน๊ตตัว Root ของคอร์ด ใน Position แรก ใช้โน๊ต ตัวกลม ขาว และดำ เล่นไปเรื่อยๆ ฟังเสียงคอร์ดไปด้วย และตามจังหว่ะให้ดีครับ

Bdim Em Am Dm G C (คอร์ด Triad) 
ได้คอร์ด 3 ตระกูล คือ 
1. _dim ดิมินิช 
2. _m ไมเนอร์ และ 
3. _ เมเจอร์
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A26-8%3A2-17%3A2-5%3A2-14%3A1-2%3A1-&l=6&f=1&ms=1&me=6&t=90 
(ในหน้า เว็ป ของ Activebass จะมี คอนโซลให้ปรับ เกี่ยวกับ Tempo จังหว่ะ หรือ ดับเสียงกลอง ลองปรับดูครับ แต่ถ้าใครไม่สะดวก สามารถ หาโปรแกรมที่ ชื่อ Band In A Box มาลงก็ได้ครับ ช่วยได้อย่างมากเลย )
คราวนี้ให้เพิ่มเป็น คอร์ด Tetra-ad ครับ
Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A24-8%3A11-17%3A11-5%3A11-14%3A9-2%3A14-&l=6&f=2&ms=1&me=6&t=80
ได้คอร์ด 4 ตระกูล คือ 
1. _m7b5 ไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟต์
2. _m7 ไมเนอร์เซ่เว่น
3. _7 โดมิแน้นท์เซเว่น(เรียกเซเว่นเฉยๆ)
4. _maj7 เมเจอร์เซเว่น
แล้วลองเล่นในคีย์อื่น ๆ บ้างครับ 
คีย์ C เล่น Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7 
คีย์ G เล่น F#m7b5 Bm7 Em7 Am7 D7 Gmaj7
คีย์ D เล่น C#m7b5 F#m7 Bm7 Em7 A7 Dmaj7
คีย์ A เล่น G#m7b5 C#m7 F#m7 Bm7 E7 Amaj7 
คีย์ E เล่น D#m7b5 G#m7 C#m7 F#m7 B7 Emaj7
คีย์ B เล่น A#m7b5 D#m7 G#m7 C#m7 F#7 Bmaj7
เล่นทั้ง ตัวกลม ตัวขาว และ ตัวดำ ให้ฟังเสียงคอร์ด ให้ดีครับ จำความรู้สึก Character ลักษณะ ของโทนเสียง โทนคอร์ด ที่ออกมา เล่น ตรงตามจังหว่ะ ให้ได้ การดีดแต่หล่ะ ครั้ง เสียงอย่าห้วน สั่น Buzz ควรคุมการดีด ในแต่หล่ะ ตัวโน๊ตให้ เสียงดัง เท่าๆกันด้วย
Advance เพิ่มความเร็ว Tempo ของ Metronome ขึ้นไปบ้างเมื่อคล่องแล้ว 
การบ้าน ครับ 
ให้หาโน๊ต ใน Scale Major ทั้งหมดออกมา ของทุกคีย์ เลยครับ ผมกำหนด Root ให้เป็น 2 แถวเรียงตามนี้
1. C G D A E B F# C# G# D# A# F (หาโน๊ตใน Cmajor ออกมา,ใน G major ออกมา ไปเรื่อยๆจนถึง F....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วยเครื่อง b แฟร็ต ให้เป็นชาร์ปให้หมด)
2 .C F Bb Eb Ab Db Gb B E A D G (หาโน๊ตใน C major ออกมาใน F major ออกมา ไปเรื่อยๆ จนถึง G....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วย # ชาร์ปให้เขียน แฟร็ตทั้งหมด) 
การบ้านนี้มีความหมายสำหรับ บทความคราวหน้าครับ ไว้จะเฉลย และอธิบายต่อไปครับ ลองทำกันดูหวังว่าคงไม่ทำให้ปวดหัวจนเกินไป

สอนวิธีเล่น Slap Bass โดย "นรเทพ มาแสง"




Marcus Miller Solo Bass










Guitar

         Guitar

           กีตาร์ (อังกฤษ: Guitar) เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง จัดเป็นพวกเครื่องสาย มักจะเล่นด้วยนิ้วมือซ้าย และดีดด้วยนิ้วมือขวาหรือใช้ปิ๊กดีดกีตาร์ เสียงของกีตาร์นั้นเกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย ทำให้เกิดกำทอน (resonance) แก่ตัวกีตาร์และคอกีตาร์
กีตาร์นั้น มีทั้งแบบกีตาร์อะคูสติก และกีตาร์ไฟฟ้า บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง กีตาร์มีส่วนตัวเป็นกล่องกำทอน ซึ่งในกีตาร์อะคูสติกจะเจาะเป็นช่อง ส่วนกีตาร์ไฟฟ้ามักจะตัน และมีโพรงในส่วนคอกีตาร์ โดยทั่วไปแล้วส่วนหัวของกีตาร์จะยืดขึ้นไปจากคอ เพื่อใส่ลูกบิดหมุนสายสำหรับปรับเสียง
กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้แพร่หลาย[ต้องการอ้างอิง] และใช้กับดนตรีหลากหลายสไตล์ นับเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้บรรเลงเดี่ยวอย่างกว้างขวางที่พบเห็นมากที่สุดคือกีตาร์คลาสสิก และยังเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงดนตรีประเภทบลูส์ และดนตรีร็อกอีกด้วย กีตาร์สามารถเล่นในยามว่าง หรือ เป็นงานอดิเรก ได้ดี
ปกติกีตาร์จะมี 6 สาย แต่แบบ 4- 7- 8- 10- 12- สายก็มีเช่นกัน ผู้ประดิษฐ์กีตาร์จะเรียกว่า Luthier

ประวัติ

เครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์เป็นที่นิยมมากว่า 5,000 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเอเชียกลาง เรียกว่าซิตาร่า (Sitara) เครื่องดนตรีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกีตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุ 3,300 ปี เป็นหินสลักของกวีอาณาจักรโบราณฮิตไตต์
คำว่ากีตาร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งมาจากภาษากรีกอีกทีคือคำว่า Kithara kithara จากหลายแหล่งที่มาทำให้คำว่ากีตาร์น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน guit- คล้ายกับภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า ดนตรี และ -tar หมายถึง คอร์ด หรือ สาย คำว่า qitara เป็นภาษาอาราบิก ใช้เรียก Lute lute ส่วนคำว่า guitarra เกิดขึ้นเมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ถูกนำมาที่ Iberia (หรือ Iberian Peninsular เป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในทวีปยุโรป) โดย Moors
กีตาร์ในยุคปัจจุบัน มาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า cithara ของชาวโรมัน ซึ่งนำเข้าไปแพร่หลายในอาณาจักรฮิสปาเนีย หรือสเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายมาเป็น เครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกว่า อู๊ด (oud) นำเข้ามาโดยชาวมัวร์ในยุคที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียน ในศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวียมี 6 สาย ในสมัย ค.ศ. 800 เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มชาว(ไวกิ้ง)
ค.ศ. 1200 กีตาร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กีตาร่า มอ ริสกา หรือกีตาร์ของชาวมัวร์ มีลักษณะกลม ตัวคอกว้าง มีหลายรู กับกีตาร่า ลาติน่า ซึ่งรูปร่างคล้ายกีตาร์ในปัจจุบัน คือมีรูเดียวและคอแคบ ในศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวสเปน ที่เรียกว่าวิฮูเอล่า เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกีตาร์ในปัจจุบัน มีความผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอู๊ดของชาวอาหรับและลูตของยุโรป แต่ได้รับความนิยมในช่วงสั้น ๆ พบเห็นจนถึงปี 1576
เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มีรูปลักษณ์เหมือนกีตาร์ในปัจจุบัน เกิดในช่วงยุคปลายของสมัยกลางหรือยุคต้นสมัยเรอเนสซอง (500 กว่าปีที่แล้ว) เป็นช่วงที่มีการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายกันทั่วโลก ในยุคนั้นกีตาร์มีทั้งแบบ 4 และ 5 สาย สำหรับกีตาร์ที่มี 6 สาย ระบุว่ามีขึ้นในปี 1779 เป็นผลงานของนายแกตาโน วินาซเซีย (Gaetano Vinaccia) ในเมืองเนเปิล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกันว่าอาจเป็นของปลอมสำหรับตระกูลวินาซเซียมีชื่อเสียงในการผลิตแมนโดลินมาก่อน
กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกเริ่มผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยจอร์จ โบแชมป์ (George Beauchamp) ได้รับสิทธิบัตรในปี 1936 และร่วมกับ ริกเค่นแบ็กเกอร์ (Rickenbacker) ตั้งบริษัท Electro String Instrument ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าในช่วงปลายปีทศวรรษที่ 1930 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960 จอห์น เลนนอน สมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ใช้กีตาร์ยี่ห้อนี้ ส่งผลให้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในกลุ่มนักดนตรีในยุคนั้น และในปัจจุบันบริษัทริกเค่นแบ็กเกอร์ เป็นบริษัทผลิตกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ประเภทของกีตาร์

กีตาร์โปร่ง
Renaissance guitars
มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก และให้เสียงที่เบากว่ามาก
Classical guitars
กีตาร์คลาสสิก ถือเป็นต้นแบบกีตาร์ในยุคปัจจุบัน มีลูกบิดและแกนพันสายเป็นพลาสติก มีคอหรือฟิงเกอร์บอร์ดขนาดใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว ลักษณะแบนราบ สายที่1 และ2 เป็นสายไนล่อน
Portuguese guitar
มี 12 สาย ใช้กับเพลงพื้นเพลงชื่อ Fado ในประเทศโปรตุเกส
Flat-top (steel-string) guitars
มีขนาดใหญ่กว่ากีตาร์คลาสสิก และเสริมความแข็งแรงที่คอ เพื่อรองรับแรงตึงของสาย ให้เสียงที่ใสและดังกว่า สายที่ใช้ สาย1และ2 มีลักษณะเป็นเส้นลวดเปลือย สายที่3-6 เป็นเส้นลวดและมีขดลวดเล็กๆพันเป็นเกลียวเพื่อเพิ่มขนาดของสาย
Archtop guitars
ด้านหน้าจะโค้ง โพรงเสียงไม่เป็นช่องกลม สะพานยึดสายด้านล่างมักเป็นแบบหางปลา นิยมใช้เล่นในดนตรีแจ๊ส
Resonator
หรือ Resophonic หรือ dobro คล้ายกับกีตาร์ Flat-top
12 string guitars
นิยมใช้ใน folk music, blues และ rock and roll มีสายโลหะ 12 สาย
Russian guitars
มี 7 สาย พบในรัสเซีย และ บางประเทศที่แยกจากสหภาพโซเวียตเท่านั้น
Acoustic bass guitars
เป็นกีตาร์เบสในรูปแบบอคูสติก มีสายและเสียงเหมือนกัน โน้ตที่เล่นจะใช้ "กุญแจฟา" ให้เสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล
Tenor guitars
มี 4 สาย
Harp guitars
จะมีสาย harp เพิ่มขึ้นมา จากปกติที่มี 6 สาย สาย harp จะให้เสียงต่ำหรือเสียงในช่วงเบส ปกติจะไม่มีฟิงเกอร์บอร์ดหรือเฟร็ต
Guitar battente
มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก นิยมใช้เล่นกับเครื่องสายอีก 4-5
Ukulele Guitar
เป็นกีตาร์ ขนาดเล็ก มี 4 สายในปัจจุบันผู้หญิงนิยมเล่น
กีตาร์ไฟฟ้า[แก้]
แบ่งตามโครงสร้างของลำตัวกีต้าร์ (Body) อาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
กีต้าร์ตัวตัน (Solid Body)
หมายถึง กีต้าร์ไฟฟ้าปกติที่ลำตัวมีลักษณะตัน ไม่มีการเจาะช่องในลำตัวกีต้าร์เหมือนอย่างกีตาร์โปร่ง หรือ อะคูสติกกีตาร์ แต่บริเวณลำตัวจะมีตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) ขณะที่ดีด เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องขยายเสียง (Amplifier) ต่อไป โดยทั่วไป ตัวรับสัญญาณจะมี 2 ประเภท คือ ตัวรับสัญญาณแบบแถวเดี่ยวที่เรียกว่า Single Coil และแบบแถวคู่ที่เรียกว่า Humbucker
กีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่ง (Semi-Hallow Body)
เป็นกีต้าร์ไฟฟ้าที่มีลักษณะโครงสร้างส่วนกลางของลำตัวในแนวเดียวกับคอกีต้าร์ มีลักษณะตัน (แต่มีการเจาะช่องเพื่อใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) เช่นเดียวกับกีต้าร์ตัวตัน) บริเวณส่วนข้างของกีต้าร์มีการเจาะช่อง (Sound Hole) เอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียงมากกว่ากีต้าร์ตัวตัน ซึ่งจะให้เสียงที่เป็นอคูสติกมากขึ้น นิยมใช้ในดนตรีแจ๊สหรือบลูส์ เป็นกีต้าร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อลดเสียงรบกวนที่เรียกว่าFeed back ซึ่งเกิดจากกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวโปร่ง (กล่าวคือ ยังมีเสียงรบกวนบ้างแต่น้อยลงกว่าเดิม)
กีต้าร์ลำตัวโปร่ง (Hallow Body)
กีต้าร์ไฟฟ้าที่มีการเจาะช่องเอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียง (Sound Hole) เช่นเดียวกับกีต้าร์โปร่งหรืออคูสติก และกีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่ง ปกติช่องดังกล่าวมักจะอยู่ด้านข้างของลำตัวกีต้าร์ เนื่องจากบริเวณกลางลำตัวจะมีการใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) เช่นเดียวกันกับกีต้าร์ตัวตัน ซึ่งผลของการที่มีช่องกำทอนเสียง ทำให้ลักษณะของเนื้อเสียงที่ได้เป็นอคูสติกมากกว่า กีต้าร์ Semi-Hallow Body แต่หากขยายเสียงให้ดังมากจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนที่เรียกว่า Feed back กีต้าร์ประเภทนี้มักจะนิยมใช้กับดนตรีแจ๊สหรือบลูส์เป็นส่วนใหญ่
ส่วนประกอบของ อะคูสติคกีตาร์

ไม้ข้าง และไม้หลัง หรือ back & side ของ acoustic guitar
เมื่อเทียบกับประเภทของไม้ที่ถูกนำมาใช้ด้านหน้าของกีต้าร์แล้ว ไม้ที่ถูกนำมาใช้เป็นแผ่นหลังและข้างนั้น มีมากมายหลายชนิดกว่า อาจแบ่งออกกว้างๆ เป็นตระกูล Rosewood, Walnut, Maple, Koa, Mahogany รวมไปถึงไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม และพวกที่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก เพื่อความสะดวกและเข้าใจได้ง่าย ผู้เขียนจะแบ่งประเภทของไม้ออกเป็นจำพวกคร่าว ๆ ดังนี้
Rosewood
Mahogany
Koa
Maple
Walnut
Ziricote (Cordia Dodecandra)
Macassar Ebony (Diospyrus Celebica)
Myrtewood
African Blackwood
African Paduk
Imbuia
Cherry
ไม้หน้า หรือ Top ของ Acoustic Guitar
Sitka Spruce
Englemann Spruce
Red Spruce
German Spruce
Alpine Spruce
Cedar
Port Orford Cedar
Redwood
Western Larch


มาเรียนกีตาร์ กันครับ 
หลังจากที่เราพอจะรู้โครงสร้างมาบ้างแล้ว
ต่อไปก็จะเป็นการสร้าง Major และ Minor Scale จากโครงสร้างที่เราศึกษามา
โดยเริ่มจาก Scale เริ่มต้นกันก่อนเลย แทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่จะต้องรู้จัก Scale นี้
C Major Scale หรือ Key C นั่นเอง

จากโครงสร้างของ Major Scale เราจะทำมาสร้าง Scale
ก็โดยการเริ่มจากนำ Note ตัวแรกของ Scale ที่เราจะสร้าง
อย่างสมมุติเราจะสร้าง C Major เราก็เอา Note ตัว C เป็นตัวเริ่มของ Scale นั้นๆ
เราก็จะได้ดังนี้

C Major Scale = C-D-E^F-G-A-B^C

เมื่อเทียบกับโครงสร้างก็คือ 1-2-3^4-5-6-7^8 จะเห็นได้ว่าตรงตามสูตรเลย
แล้วพอเรานำโครงสร้างไปใช้หา Major Scale อื่นๆเราก็จะได้ดังนี้

*** Scale จะแบ่งเป็น 2ทาง คือทาง # และทาง b ***

ทาง #

C Major = C D E F G A B C
G Major = G A B C D E F# G
D Major = D E F# G A B C# D
A Major = A B C# D E F# G# A
E Major = E F# G# A B C# D# E
B Major = B C# D# E F# G# A# B
F# Major = F# G# A# B C# D# E# F#
C# Major = C# D# E# F# G# A# B# C#

ทาง b

F Major = F G A Bb C D E F
Bb Major = Bb C D Eb F G A Bb
Eb Major = Eb F G Ab Bb C D Eb
Ab Major = Ab Bb C Db Eb F G Ab
Db Major = Db Eb F Gb Ab Bb C Db
Gb Major = Gb Ab Bb Cb Db Eb F Gb
Cb Major = Cb Db Eb Fb Gb Ab Bb Cb

นี่ก็คือโครงสร้างของ Scale Major อาจจะมีตัวที่ซ้ำกันบ้าง
อย่าง B# กับ Cb ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะนี่มันตรงตามโครงสร้าง
ให้ศึกษาเป็นพื้นฐาน แล้วก็นำไปประยุคให้ตัวเองถนัด

ต่อไปก็จะเป็น Minor Scale จะมีข้อสังเกตุและการสร้างง่ายๆอยู่อย่างนึงคือ
ตัวที่ 6 ของ Major Scale จะเป็นตัวที่ 1 ของ Minor Scale หรือเราเรียกว่า Relative เช่น

C Major = C-D-E^F-G-A-B^C ตัวที่ 6 ของ Major Scale ก็คือ A เป็น Relative
ก็นำ A มาตั้งเป็นตัวที่ 1 ของ Minor Scale ก็จะได้

A Minor = A-B^C-D-E^F-G-A

และเมื่อเอาไปเทียบกับโครงสร้าง 1-2^3-4-5^6-7 ก็ตรงตามสูตรอีกเช่นกัน 
0 Comments
บทที่ 2 : โครงสร้าง Major และ Minor Scale
posted on 15 Nov 2010 11:13 by alphazzz
จากบทที่แล้วเราพอจะรู้จัก Note บนคอ Guitar กันมาบ้าง
ต่อไปก็จะเป็นโครงสร้างพื่นฐาน ของ Major และ Minor Scale

Major Scale
โครงสร้าง = 1-2-3^4-5-6-7^8

Minor Scale
โครงสร้าง = 1-2^3-4-5^6-7-8

*** - = แทน1เสียง , ^ = แทนครึ่งเสียง ***

ทำความเข้าใจกับโครงสร้างเพราะเป็นพื้นฐานในการสร้าง Scale ต่อไป


0 Comments
บทที่ 1 : Note บนคอ Guitar
posted on 13 Nov 2010 21:52 by alphazzz
ก่อนอื่นก็มาทำความรู้จักกับ Note บนคอ Guitar กันก่อน

Guitar จะมีการตั้งสายที่แตกต่างกันไป

แต่การตั้งแบบปกติของ Guitarนั้น Noteสายปล่าวจะเป็นดังนี้

1=E , 2=B , 3=G , 4=D , 5=A , 6=E







รวมสุดยอดอาจารย์กีตาร์ไทย




กีตาร์ ยอดนิยม










วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Drummer

         กลองชุด (อังกฤษ: Drum kit) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบด้วยตัวกลองและฉาบจำนวนหลายใบ และใช้"ไม้กลอง"เพื่อตีควบคุมจังหวะ กลองชุดเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงหนักแน่น สามารถเพิ่มพลังให้กับบทเพลงได้หลากหลายแนว เช่น ร็อก , บลูส์ , ป็อป , ฟังก์ , ดิสโก้ และ แจ๊ส เป็นต้น กลองชุดเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

เครื่องดนตรีในกลองชุด ประกอบด้วย
กลองเล็ก หรือ สะแนร์ดรัม (Snare drum) ประกอบด้วยแผงลวดขึงรัดผ่านผิวหน้ากลองด้านล่าง เพื่อให้เกิดเสียงกรอบ ๆ ดังแต๊ก ๆ ตัวกลองทำด้วยไม้หรือโลหะ และสามารถรัดให้หนังตึงด้วยขอบไม้ด้านบนและล่าง สามารถปลดสายสะแนร์เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มดังตุ้มตุ้มได้ และตีกลองเล็กด้วยไม้ นิยมใช้กลองชนิดนี้ทั้งในวงดุริยางค์และวงดนตรี มักจะถูกตีในจังหวะที่ 2 และจังหวะที่ 4 ของทุกๆ " 1 ห้อง " ของเพลงนั้นๆ
กลองทอม (Tom-tom drum) หรือ เทเนอร์ดรัม (Tenor drum) มีขนาดใหญ่กว่าสะแนร์ดรัม เป็นกลองชนิดที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้สายสะแนร์ โดยทั่วไปบรรเลงในหมวดกลอง ใช้ไม้ชนิดหัวไม้หุ้มสักหลาด มักถูกใช้ในการตีลูกส่ง และช่วยในการโซโล่ ของกลอง
กลองใหญ่ หรือ กลองเบส (Bass drum) เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยตัวกลองที่ทำด้วยไม้และมีหนังกลองทั้งสองด้าน เสียงที่เกิดจากการตีกลองใหญ่จะไม่ตรงกับระดับเสียงที่กำหนดไว้ทางตัวโน้ต ตีด้วยไม้ที่มีสักหลาดหุ้ม ชนิดที่มีหัวที่ปลายทั้งสองข้าง ใช้เพื่อทำเสียงรัว มักจะถูกตีในจังหวะที่ 1 และจังหวะที่ 3 ของทุกๆ " 1 ห้อง " ของเพลงนั้นๆ
กลองทิมปานี (หรือกลองเค็ทเทิ้ลดรัม) เป็นกลองที่มีลักษณะเป็นหม้อกระทะ ซื่งมีหน้าหนังกลองหุ้มทับอยู่ด้านบน เป็นกลองชนิดเดียวที่ขึ้นเสียงแล้วได้ระดับเสียงที่แน่นอน เมี่อคลายหรือขันหน้ากลองโดยใม่ว่าจะใช้วิธีขันสกรูหรือเหยียบเพดดัล (ที่เหยียบ) ก็ไดั ไม้ที่ใช้ตีมีการหุ้มนวมตรงหัวไม้ตี ตีได้ทั้งเป็นจังหวะและรัว
ฉาบ หรือ ซิมบาลส์ (Cymbals) เป็นฉาบที่มีขนาดใหญ่เล็กน้อย ใช้ตีเพื่ออัดพลังความหนักแน่นให้กับลูกส่ง และการโซโล่ของกลอง เพื่อเป็นการสร้างสีสันให้กับตัวเพลง โดยส่วนใหญ่แล้ว ในการควบคุมจังหวะให้กับเพลง ไม่ว่าเพลงแนวใดก็ตาม การตีซิมบาลส์นั้น มักจะเป็นการตีลงไปหนึ่งครั้ง ในบาง " 1 ห้อง " และการตีซิมบาลส์นั้น มักจะไม่เป็นการตีอย่างต่อเนื่องไปตลอดและพรํ่าเพรื่อมากนัก
ฉาบไฮแฮ็ท (Hi-hat) เป็นฉาบขนาดกลางสองใบในแนวเดียวกัน สามารถถูกทำให้อ้าออก และ ประกบเข้ากันได้ ด้วยคันเหยียบซึ่งอยู่ทางด้านล่างสุดของตัวเสาแขวนฉาบไฮแฮ็ท โดยทั่วไปแล้ว ไฮแฮ็ทและตัวเสาแขวนจะอยู่ทางด้านซ้ายมือของกลองเล็ก ใช้ตีต่อเนื่องเพื่อบอกและควบคุมจังหวะทั้งหมดภายใน " 1 ห้อง " ของเพลงนั้นๆ ตลอดจนจบเพลง

มาเรียนกลองกันเถอะ

ทฤษฎีดนตรีเบื้องต้น

หลายคนถามว่า “โน้ต คือ อะไร?” เป็นตลกในวงการเมืองไทยหรือเปล่า - -‘’ อันนั้นไม่ใช่นะครับ เหอๆ

โน้ต ก็คือ สัญลักษณ์ที่ใช้บันทึกแทนเสียงดนตรี ซึ่งแสดงถึงความสั้น-ยาว และความสูง-ต่ำของเสียงดนตรี ตัวโน้ตเปรียบเหมือนกับตัวอักษรที่ใช้บักทึกแทนภาษาพูด คนที่เล่นดนตรีเป็นแต่ไม่สามารถอ่านโน้ตได้ก็เหมือนกับคนที่พูด ได้แต่อ่านหนังสือไม่ออก ผมไม่ได้หมายความว่าคนที่อ่านโน้ตไม่เป็นจะเล่นดนตรีไม่ดีนะครั บ ยังมีนักดนตรีเก่งๆอีกหลายท่าน ที่อ่านโน้ตไม่เป็นแต่ก็เล่นดนตรีได้อย่างเยี่ยมยอดมาก ก็เหมือนกับ คนที่อ่านชื่อป้ายห้องน้ำไม่ออก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้ห้องน้ำไม่เป็นนี่ครับ

สำหรับเสียงเครื่องดนตรีที่เราดีด,สี,ตี,เป่า ออกมาเป็นเพลงได้นั้น จะประกอบไปด้วย

1. ความสั้น-ยาว ของเสียง หรือที่เราเรียกว่า จังหวะ (Time)
2. ความสูง-ต่ำ ของเสียง หรือที่เราเรียกว่า ระดับเสียง (Pitch)

ถ้าเพื่อนๆมีความเข้าใจใน 2 ข้อ นี้ก็สามารถอ่านโน้ตได้เร็วขึ้น เพราะโน้ตจะบันทึกรวมทั้ง 2 ข้อนี้ไว้ด้วยกัน แต่ผมจะขอพูดถึงแต่ในส่วนแรกคือ ส่วนของจังหวะ(Time) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 10 บทย่อยๆ ดังนี้ครับ

1. ความหมายของคำว่าจังหวะ(Time)

2. ตัวโน้ต และตัวหยุด (Note & Rest)

3. โน้ตโยงเสียง (Tied Note)

4. โน้ตประจุด (Dotted Note)

5. โน้ต 3 พยางค์ (Triplets)

6. ห้องเพลง (Measure)

7. เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time Signature)

8. เครื่องหมายกำหนดจังหวะอื่นๆ

9. การจัดกลุ่มตัวโน้ต และตัวหยุด

10. หลักการปฏิบัติจังหวะตามตัวโน้ต

ซึ่งผมจะทยอยนำมาลงเรื่อยๆนะครับ และหากตกหล่นหรือผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


บทที่ 1 ความหมายของคำว่าจังหวะ (Time)

จังหวะ หมายถึง ช่วงเวลาที่ดำเนินอยู่ในขณะที่บรรเลงดนตรี จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อจบบทเพลงนั้นๆ แล้ว จังหวะมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของทำนองเพลงและแนวประสานเส ียงต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน การเดินของจังหวะจะเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ จะเหมือนกับการเดินของนาฬิกา อ๋อ...ยกเว้นนาฬิกาตายนะครับ
ซึ่งนาฬิกาปกติจะเดินเป็นจังหวะตัวดำเท่ากับ 60 ตัวอย่างเช่น
หากเพื่อนๆตั้งเมโทโนมเป็นจังหวะตัวดำเท่ากับ 120 ก็คือในหนึ่งนาทีจะมีตัวดำทั้งหมด 120 ตัว หรือใน 1 วินาทีของนาฬิกาปกติ จะมีตัวดำทั้งหมด 2 ตัวนั่นเอง

สำหรับจังหวะเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 .จังหวะเคาะ (Beat) เป็นหน่วยบอกช่วงเวลาของดนตรี ปฏิบัติโดยการเคาะจังหวะให้ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าจะจบบทเพลง

2. จังหวะทำนอง (Rhythm) เป็นช่วงเวลาที่เสียงดังออกมา มีทั้งเสียงสั้นเสียงยาวสลับกันไปด้วยความเงียบ ซึ่งแล้วแต่บทเพลงนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เพลงหนูมาลี ที่เพื่อนๆ น่าจะเคยได้ยินกันดีอยู่แล้ว

ความสั้น-ยาวของเสียง หรือความเงียบในจังหวะทำนอง สามารถบันทึกได้โดยใช้ ตัวโน้ต และตัวหยุด ซึ่งจะอธิบายในบทต่อไปครับ


บทที่ 2 ตัวโน้ต และตัวหยุด (Note & Rest)

ตัวโน้ต (Note) เป็นสัญลักษณ์ที่บักทึกแทน ความสั้น-ยาว ของเสียง

ตัวหยุด (Rest) เป็นสัญลักษณ์ที่บักทึกแทน ความสั้น-ยาวของความเงียบ

ลักษณะของตัวโน้ต และตัวหยุด

สำหรับชื่อเรียกที่ผมหามาได้ก็จะมีทั้งหมด 3 ชื่อนะครับ คือชื่อไทย, ชื่ออังกฤษ, และชื่ออเมริกัน เท่าที่เจอจากประสบการณ์ ชื่ออังกฤษมักจะไม่ค่อยได้พบเห็นเท่าไหร่ ที่เรียกกันทั่วๆไปได้ยินบ่อยๆ ก็จะเป็นชื่อไทยกับชื่ออเมริกาซะมากกว่าครับ ในส่วนต่อไปเราจะมาเปรียบเทียบค่าของตัวโน้ตกันนะครับ


การเปรียบเทียบค่าของตัวโน้ต


จะเห็นได้ว่า โน้ต ตัวขาว มีค่าเท่ากับ ½ ของโน้ต ตัวกลม

โน้ต ตัวดำ มีค่าเท่ากับ ¼ ของโน้ต ตัวกลม

โน้ต ตัวเขบ็ต 1 ชั้น มีค่าเท่ากับ 1/8 ของโน้ต ตัวกลม

โน้ต ตัวเขบ็ต 2 ชั้น มีค่าเท่ากับ 1/16 ของโน้ต ตัวกลม

หรือ 1 ตัวกลม = 2 ตัวขาว = 4 ตัวดำ = 8 ตัวเขบ็ต 1 ชั้น = 16 ตัวเขบ็ต 2 ชั้น

ส่วนตัวหยุด ให้เปรียบเทียบค่าเหมือนตัวโน้ตครับ


Drum Solo



มือกลองแนวหน้าของไทย



บทสัมภาษณ์ “พี่ชัช BODYSLAM 



        สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาว EXTREME DRUMMER ทุกท่าน หลังจากที่มือกลองทั้งหลายได้เรียกร้องมาว่าอยากอ่านบทสัมภาษณ์ของพี่ชัช บอดี้สแลม เมื่อสบโอกาสผมจึงได้กรี๊งๆๆๆๆ ไปหาพี่ชัชว่าอยากจะขออนุญาติสัมภาษณ์พี่ชัชเพื่อเอามาลงให้ชาวสมาชิกได้อ่านกัน พี่ชัชก็ตอบตกลงทันทีเลยครับ แบบว่าใจดีมากๆครับพี่ชัชเนี่ย อัธยาศัยนี่ไม่ต้องห่วงเลยครับเป็นกันเองอย่างมากๆ เอาล่ะครับ…ผมไม่อยากจะ Intro นาน ผมขอเชิญเพื่อนๆสมาชิกชาว EXTREME DRUMMER มาอ่านบทสัมภาษณ์พี่ชัชกันแบบถึงลูกถึงคนกันเลยครับ
ตั้ม – สวัสดีครับพี่ชัช
พี่ชัช – สวัสดีครับน้องตั้ม
ตั้ม – เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาผมขอยิงคำถามแรกเลยนะครับผม
พี่ชัช – โอเคครับ
ตั้ม – พี่ชัช เริ่มตีกลองตอนอายุเท่าไหร่เหรอครับ
พี่ชัช – อิอิอิอิ พี่ขอตอบเป็นว่าตอนเรียนชั้นอะไรดีกว่านะครับ คือจริงๆแล้วเนี่ยพี่เริ่มจากการตีฉาบในวงโยธวาฑิตตอนอยู่ป.6 แล้วก็เริ่มมาตีสแนร์ตอนอยู่ม.1 ครับ ก็ได้รุ่นพี่ที่โรงเรียนเค้าสอนๆกันมา ส่วนเรื่องกลองชุดนี่พี่เริ่มจริงๆก็ตอนม.3ครับ
ตั้ม – แล้วพี่ชัชเริ่มเข้าวงการตอนไหนเหรอครับ แล้วเข้าไปได้อย่างไร
พี่ชัช – ก็ก่อนหน้านั้นพี่ก็เริ่มมาจากการเล่นผับอยู่แล้ว จากนั้นบังเอิญว่าพี่กับเพื่อนๆในวงก็ได้ไปประกวดดนตรีในรายการหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเค้ากำลังหาวงเพื่อไปเล่นแบ็คอัพให้กับ พี่ลีโอ พุฒิ เมื่อ10ปีก่อนโน้นน่ะครับ โดยให้นำเพลง เอื้อมมือคว้า ของพี่อิง อชิตะ มา Cover ใหม่ ซึ่งก็ได้รับเลือก และหลังจากเล่นให้พี่ลีโอมาได้สักพัก ก็ได้ไปเล่นแบ็คอัพให้กับพี่ สุกัญญา มิเกล และหลังจากนั้นก็ได้ไปเล่นให้ศิลปินต่างๆมากมาย
ตั้ม – พี่ชัชตีเก่งขนาดนี้ซ้อมเยอะมั๊ยครับ
พี่ชัช – โอ้โหไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ซ้อมหนักมากๆ แต่พี่ไม่ได้กำหนดเวลาว่าต้องซ้อมกี่ชั่วโมงต่อวันนะครับ พี่จะซ้อมตอนว่างๆ พูดง่ายๆคือว่างเมื่อไหร่เป็นซ้อมน่ะครับ โดยที่พี่จะได้พี่มารถ มาเป็นคนเทรนท์ให้ประมาณ 2 ปี ก็จะซ้อมกันแบบมีกลอง 2 ชุดแล้วตีส่งกันไปมา
ตั้ม – จ๊าก…แบบนี้คงสนุกแน่ๆเลยนะครับเนี่ย
พี่ชัช – โอ้น้องตั้มครับ สะเด่ามากๆเลยครับ
ตั้ม – อ้อลืมถามไปเลยครับว่าพี่ชัชจบการศึกษามาจากที่ไหน
พี่ชัช – พี่จบเอกดนตรีสากลที่ ราชภัฏบ้านสมเด็จครับ
ตั้ม – เอ้อพี่ชัชครับ แล้วสำหรับมือกลองที่พี่ชัชชอบดูวีดีโอ เวิร์คช็อบเนี่ยมีใครบ้างเหรอครับ
พี่ชัช – อ้อของพี่นี่ดูและศึกษาอยู่คนเดียวเลยครับ คือ CARTER BEAUFORD เพราะแบบว่าแนวเค้าได้มากเลยครับ ลูกละเอียดๆเยอะเลย
ตั้ม – มาพูดถึงผลงานเต็มๆอัลบั้มของ บอดี้สแลม ชุดนี้กันบ้างนะครับ ไม่ทราบว่าพี่ชัชมีวิธีการครีเอทแพทเทิร์นต่างในเพลงชุดนี้อย่างไรบ้างครับ รวมถึงการใช้ Splash และ Bell ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจนของอัลบั้มชุดนี้
พี่ชัช – ขำขำครับตั้ม คือพี่จะพยายามใส่ให้เข้ากับเพลง โดยคำนึงถึงเนื้อเพลงมากที่สุด ท่อนไหนที่ควรใส่ก็ใส่ แต่ท่อนที่ใส่เนี่ยต้องดูว่าใส่แล้วต้องไม่รกด้วยครับ
ตั้ม – เอ้อพี่ครับ ถ้าจะพูดกันตรงๆเลยว่ามีเพลงไทยเยอะแยะที่ใส่ 2 กระเดื่องเข้าไปแล้วคนไม่ค่อยฟัง และขายไม่ค่อยได้ แต่พี่ชัชเอามาใส่ในชุดนี้เยอะเลยนี่นาครับ
พี่ชัช – อ๋อก็เหมือนกันครับคือ พี่จะใส่ไม่เยอะมากจนเกินไป และใส่ในท่อนที่เห็นว่าโดนๆน่ะครับ
ตั้ม – แล้วทางบอดี้สแลมเองมีโครงการทำชุดต่อไปรึยังครับ
พี่ชัช – อ๋อตอนนี้ก็ยังเลยครับ เพราะว่ากำลังทัวร์คอนเสิร์ตในอัลบั้มนี้อยู่ เหนื่อยมากๆเลยครับ
ตั้ม – สุดท้ายนี้เนื่องจากเดี๋ยวพี่ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตต่อ ผมจึงอยากจะให้พี่ชัชฝากอะไรถึงน้องๆสมาชิกชาว EXTREME DRUMMER กันหน่อยน่ะครับ
พี่ชัช – เอ่อก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีสมาชิกเวบ EXTREME DRUMMER ด้วยนะครับ ก็อยากจะให้น้องๆฝึกซ้อมกันเยอะๆ ทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ แต่อย่าซ้อมอย่างเดียวนะครับ ควรจะต้องฟังเยอะๆ ดูเยอะ เพราะสิ่งเหล่านี้จะสร้างไอเดียให้เราได้เป็นอย่างดี อย่างสมมติว่าถ้าซื้อซีดีมาสัก 5 แผ่น แล้วถ้าเราฟังมันอย่างละเอียดทุกๆเพลง สัก1เดือน รับรองเลยครับว่าเราจะได้ลูกอะไรๆมาเยอะแยะมากมายครับผม
ตั้ม – สุดท้ายนี้อีกครั้งผมเองและเวบ EXTREME DRUMMER ต้องขอขอบคุณพี่ชัชมากๆเลยนะครับที่อุตส่าห์สละเวลามาให้สัมภาษณ์
พี่ชัช – อ๋อไม่เป็นครับผม ด้วยความยินดี ครั้งหน้าถ้ามีอะไรบอกมาได้เลยนะครับ พี่เต็มที่เลยครับกับน้องตั้มและ EXTREME DRUMMER แล้วว่างๆพี่จะเข้าไปตอบคำถามด้วยครับ
ตั้ม – โอ้ว…ขอบคุณมากๆเลยครับพี่ชัช ยังไงก็ขอให้พี่รักษาสุขภาพด้วยนะครับ เพราะต้องลุยทัวร์อย่างหนักเลย
พี่ชัช – โอเคครับน้องตั้ม ด้วยความยินดีครับผม
ผมหวังว่าคงจะถูกใจเพื่อนๆกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับผม ส่วนบทสัมภาษณ์มือกลองคนต่อไปคือใครต้องรอติดตามกันนะครับ ขอรับรองว่าน่าสนใจเช่นกันครับผม / ขอบคุณพี่ชัชและเพื่อนสมาชิกทุกคนนะครับ

สนุกกับจังหวะ Drum & Solo

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

The Voice


The Voice

การร้องเพลง




การร้องเพลง หรือ การขับร้อง คือการทำให้เกิดเสียงดนตรีจากเสียงและเสริมด้วยถ้อยคำทั้งระบบเสียงสูงต่ำและจังหวะ คนที่ขับร้องเพลงเรียกว่านักร้อง และนักร้องจะแสดงการขับร้องเพลง ซึ่งอาจจะร้องแบบอะแคปเปลา (ร้องโดยไม่ใช้ดนตรี) หรือมีนักดนตรี เครื่องดนตรีประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีตัวเดียวหรือเต็มวง การร้องนั้นส่วนใหญ่จะร้องร่วมการแสดงกับนักดนตรีกลุ่มอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคอรัสที่ร้องในเสียงที่แตกต่างกัน หรือกลุ่มนักเล่นดนตรี อย่างเช่นวงร็อกเป็นต้น

การร้องเพลงนั้นาอาจร้องแบบไม่เป็นทางการ ร้องเพื่อความบันเทิง อย่างเช่นร้องระหว่างการอาบน้ำ ร้องคาราโอเกะ หรือในบางกรณีร้องอย่างเป็นทางการ เช่นร้องในระหว่างพิธีทางศาสนา หรือนักร้องอาชีพร้องเพื่อแสดงบนเวทีหรือร้องในสตูดิโอ การร้องที่มีทักษะสูงหรือร้องในระดับอาชีพ มักจะต้องอาศัยความสามารถแต่กำเนิด การเรียนการสอน และการฝึกฝนนักร้องมืออาชีพจะสร้างหนทางสู่อาชีพด้วยการเป็นนักร้องในแนวเพลงต่าง ๆ อย่างเช่น นักร้องคลาสสิก นักร้องร็อก พวกเขาต้องฝึกทักษะการร้องในแนวเพลงนั้น ทั้งจากครูสอนร้องหรือโค้ชร้อง ในอาชีพของพวกเขา






       ปัจจุบันการร้องเพลงให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีเป็นสิ่งจำเป็นในการออกงานสังคมมาก เช่น
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มักถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงในงานเลี้ยงที่เป็นทางการของ หน่วยงานต่าง ๆ 
หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การร้องเพลงเป็นจะช่วย
ให้ไม่อายผู้อื่น นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างมากในด้านการผ่อนคลายอารมณ์ตึง 
เครียดจากการงาน และยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่งด้วย และหากร้องเพลงได้ไพเราะ
ยังสามารถนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้่ตนเอง 

  ดังนั้นการฝึกร้องเพลงจำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีและมีเทคนิคดังนี้


1. ท่าทาง 
การปฏิบัติที่ถูกต้องควรจะให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ คือยืนตรง เท้าวางห่างกันประมาณ 1 ฟุต 
เท้าขวาอยู่หน้าเล็กน้อย ให้รู้สึกว่ากระดูกสันหลังรับน้ำหนักทั้งหมด ฝึกหัดยกหัว เชิดหน้า 
ไหล่ตรง แขม่วท้อง หดสะโพก หลังตรง ไม่เกร็งตัว วางตัวตามสบายแต่ให้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง 
ควรยืนห่างจากไมโครโฟนประมาณ 12 - 15 นิ้ว ออกเสียงแต่พอควรไม่เบาหรือดังจนเกินไป 
สำหรับผู้ใช้เสียงจากลำคอต้องยืนใกล้ไมโครโฟนมากเพราะเสียงจะออกกังวานต่ำ และเบาแผ่ว 
จึงจำเป็นต้องยืนใกล้ไมโครโฟนเหมือนผู้ใช้เสียงจากนาสิก สำหรับผู้ใช้เสียงจากท้องเสียงจะดังมาก
ไม่ต้องอยู่ใกล้ไมโครโฟนเกินไป การฝึกหัดกับกระจกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะได้เห็นและ้ไข
สิ่งบกพร่องต่างๆ ให้ดีขึ้น และช่วยให้ไม่อายได้


2. การหายใจ
การร้องเพลงให้เสียงดีนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการหายใจที่ถูกต้อง ขณะหายใจลมจะผ่านหลอดเสียง
เกิดเป็นเสียงต่าง ๆ ขึ้น ถ้าการหายใจสม่ำเสมอเสียงร้องเพลงก็น่าจะสม่ำเสมอด้วย
ส่วนของร่างกายที่ช่วยบังคับลมหรือการหายใจเรียกว่ากระบังลม กระบังลมเป็นกล้ามเนื้อผืนใหญ่อยู่ใต้ปอด
และอยู่เหนือกระเพาะอาหารทางด้านหน้า ถ้าปอดแฟบแสดงว่าไม่มีอากาศ กระบังลมจะมีลักษณะเหมือนชามคว่ำ
ขณะที่หายใจออกกระบังลมจะดึงขึ้นไปดันปอดทำให้อากาศกลับออกมาผ่านไปตามลำ คอกระทบกับหลอดเสียง
ทำให้เกิดเสียงขึ้น นอกจากการขยายกระบังลมแล้ว ผู้ร้องยังใช้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยขยายโพรงอกคือการพองตัว
ทำให้ซี่โครง กางออกการฝึกหายใจ เริ่มด้วยการยืดอกและยืนตัวตรงให้แขนแนบลำตัว ไม่ควรยกไหล่
หายใจเข้าทางปากครึ่งหนึ่ง จมูกครึ่งหนึ่งพร้อม ๆ กันจะทำให้ไม่เกิดเสียงดัง โดยกระบังลมจะทำหน้าที่
ชะลอลมหายใจให้ออกช้าๆ คล้ายกับคาบูเรเตอร์ของเครื่องยนต์ ผู้ร้องจะต้องฝึกหัดหายใจเข้าออก
อย่างรวดเร็วแล้วปล่อยออกช้าๆ ให้ได้นานที่สุด
ข้อสำคัญก็คือ การหายใจเข้า ท้องจะป่องเพื่อเก็บลมและ การหายใจเข้าจะต้องหายใจก่อนเริ่มร้องพอดี
พยายามรักษาสุขภาพอย่าให้เป็นหวัด เจ็บคอหรือต่อมทอมซินอักเสบ อย่าขากเสมหะแรงๆ หรือสั่งน้ำมูกแรงๆ
อย่าดื่มสุราหรือสูบบุหรี่จัดจะทำให้ปอดและหลอดลมอักเสบ



                                                                                 



3. การจับเสียงและเข้าจังหวะ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
3.1 นึกเสียงที่จะร้องในใจ หมายถึงระดับเสียง เสียงสระความดังเบา
3.2 หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ เตรียมพร้อมที่จะเปล่งเสียงออกมา
3.3 ริมฝีปาก ้ม และขากรรไกรปล่อยตามสบาย
3.4 ลิ้นไม่กระดกหรือเกร็ง ปล่อยตามสบาย ให้ปลายลิ้นแตะกับฐานฟันล่างเล็กน้อย
3.5 การส่งลม การปรับหลอดเสียง การบังคับปากและการร้องจะเกิดขึ้น วินาทีเดียวกัน


4. คุณภาพของเสียง
ขึ้นอยู่กับหลอดเสียง กล่องเสียง ลำคอ กระพุ้งปาก ลิ้นและศรีษะ เมื่อสูดอากาศออก
อากาศจะผ่านหลอดเสียงทำให้หลอดเสียงสั่นเกิดเป็นเสียงขึ้นมา และเสียงก็จะผ่านลำคอ
และปาก ดังนั้นทั้งในปากและในศรีษะจะทำหน้าที่เป็นช่องขยายเสียง
ในขณะที่ ร้องเพลงจะรู้สึกเสียงพุ่งไปข้างหน้า และมี ?จุด? ที่เสียงรวมกันอยู่ที่หนึ่งที่ใดบนใบหน้า
พยายามให้ ?จุด? นี้ อยู่ที่แถวฟันเหนือปลายลิ้น ไม่ควรให้ ?จุด? นี้อยู่ในลำคอหรือโคนลิ้น
เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแถวนั้นเกร็งและเสียงที่ออกมาจะไม่น่าฟัง การร้องเพลงควรคิดถึงบรรยากาศ
ที่สวยงามเบิกบานใจ อย่าเกร็งคอหรือหน้า อย่าเกร็งลิ้นหรือกระดกลิ้นขึ้นเพราะจะไปบังลำคอ
ทำให้เสียงที่ออกมาเกร็ง ฟังไม่ชัดและไม่ไพเราะ คือเสียงไม่มีคุณภาพนั่นเอง


5. การออกเสียงของสระและพยัญชนะ
ในการร้องเพลงผู้ร้องต้องคำนึงถึงองค์ ประกอบทั้งสอง คือการออกเสียงสระและพยัญชนะ
ถ้าปราศจากอันหนึ่งอันใดจะร้องเพลงไม่ได้ดีถึงแม้จะมีเสียงไพเราะก็ตามหลัก การร้องสระ แบ่งออกเป็น 4 ข้อคือ
(1) ออกเสียงสระให้ตรงตัว อย่าทำเสียงอื่นปนหรืออย่าออกเสียงผิดๆ
(2) ในการขับร้องหมู่ ผู้ร้องทุกคนควรออกเสียงสระให้เหมือนกัน
(3) สำหรับคำที่มีสระผสม (เช่น คำว่า ?เดียว? มีสระ2 ตัว คือ สระอี และสระอู)
ควรร้องสระเอา (ตัวหน้า) ตามค่าของตัวโน้ตไม่เน้นสระโอ (ตัวหลัง) จนเกินไป
(ในกรณีนี้ไม่เน้นสระอู จะร้องสระอีจนกว่าหมดค่าของโน้ตและสรุปคำด้วยสระอู)
(4) ร้องต่อสระคำหนึ่งไปยังอีกคำหนึ่งให้ต่อเนื่องกัน อย่าร้องขาดเป็นห้วงๆ
สำหรับการออกเสียงพยัญชนะ ผู้ร้องอาจจะปฏิบัติดังนี้คือ "พยายามร้องสระให้ยาวที่สุด
และร้องพยัญชนะให้สั้นที่สุดแต่ชัดเจน"


หลักการร้องพยัญชนะ แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ


(1) ถ้าคำใดขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ควรร้องพยัญชนะตรงจังหวะ อย่าร้องช้ากว่าจังหวะ
(2) ควรจะเปล่งเสียงพยัญชนะ เช่น เชอะ ฟัก ก่อนจังหวะของมันเล็กน้อย เมื่อจังหวะของมันมาถึง
เสียงที่ร้องจะได้ตรงจังหวะพอดี แล้วร้องสระของคำนั้นทีหลัง (พยัญชนะจะออกเสียงจากไรฟันและช่องข้างลิ้น)
(3) เนื่องจากสระเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการร้องเพลง ควรร้องพยัญชนะแต่ละตัวให้สั้น
(4) เปล่งเสียงพยัญชนะทางส่วนหน้าของปาก เพราะสะดวกในการเปล่งเสียงมากกว่าที่อื่น
และเพื่อให้ชัดเจนอย่าออกเสียงพยัญชนะจากโคนลิ้น
(5) ออกเสียงพยัญชนะทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พยัญชนะเป็นตัวเดียวกันสองตัว เช่น หนักแน่น


หลักการร้องเพลงเสียงต่ำ แบ่งออกเป็น 6 ข้อคือ


(1) ใช้เลียนแบบเช่นเดียวกับการพูด เสียงจะอยู่ที่ริมฝีปาก พยัญชนะและสระอยู่ที่ริมฝีปากไม่ใช่อยู่ในคอ
(2) เมื่อจะเริ่มร้องเสียงต่ำจะต้องเริ่มคิดเสียงสูงไว้
(3) ยิ่งเสียงลงต่ำช่องในปากจะเล็กลง ถ้าปากกว้างไปเสียงจะไม่มีกำลัง
(4) เวลาร้องเสียงต่ำไม่ควรร้องเสียงดัง
(5) บังคับลมและกำลังไว้ไม่ให้พลังออกมามากพร้อมกับเสียง เพราะจะทำให้เสียงหนักเกินไป
(6) ให้เสียงต่ำมีลักษณะก้องหรือสะท้อนกังวานออกมาคล้ายเสียงฮัม


หลักการร้องเพลงเสียงสูง แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ


(1) ใช้สมองหรือใช้ความคิดช่วยในการร้องเสียงสูง เช่น จะร้องเสียงซอลสูง ให้สมมุติว่าจะร้องเสียงสูงเท่ากับที่เคยร้องมาก่อน
(2) การร้องเสียงสูงต้องใช้พยัญชนะเร็วและชัด โดยใช้พลังของลมจากพยัญชนะถึงสระ
(3) การร้องเสียงสูงให้ปล่อยเสียงออกมาตามสบายโดยไม่ต้องบังคับ
(4) เมื่อร้องเสียงสูงให้ปล่อยขากรรไกร ปล่อยลิ้นตามสบาย อ้าปากกว้างไม่ต้องเงยหน้าและไม่เกร็ง
(5) ใช้พลังของลมจากกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง เอวและสะโพก แต่ใช้กล้ามเนื้อที่คอเปล่งหรือบังคับเสียง


6. อักขระ
เป็นสิ่งสำคัญในการร้องเพลง โดยเฉพาะคำควบกล้ำ คำสั้นยาว แต่ละคำล้วนมีความหมาย
เพราะบทเพลงแต่ละเพลงที่ถ่ายทอดจากจินตนาการของ นักแต่งเพลง ล้วนมีความหมายและ
อารมณ์อยู่ในตัวของมันเอง ผู้ร้องคือผู้ถ่ายทอดจินตนาการของบทเพลงนั้นๆ ถ้าไม่พิถีพิถัน
ด้านอักขระจะทำให้เพลงนั้นหมดความหมายและอารมณ์ทันที เช่น ฉันรักเธอ เป็น ฉันลักเธอ
ขี่ควายชมจันทร์ เป็น ขี่ฟายชมจันทร์ หนัก เป็น หนาก หรือ เพลง เป็น เพง



วิธีการดูแลรักษาเสียง



1. การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสียงของเรามีคุณภาพ ในแต่ละวัน ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย  6-8 ชั่วโมง
2. ไม่ดื่มสุรา/ของมึนเมา การดื่มสุราจะทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้นเสียงเกิดการขยายตัว ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้น เสียงแตกได้  
3. ไม่ควรสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติดใดๆ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้สารนิโคติน มาเคลือบบริเวณช่องคอ ทำให้เกิดการระคายคอได้
4. ควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือเล็กน้อย จะช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ
5. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมก่อนการร้องเพลง เพราะน้ำนมจะไปเคลือบเป็นเมือกบริเวณช่องคอ ทำให้เกิดอาการระคายคอ
6. ในกรณีที่เป็นหวัดและเกิดอาการ "ไอ" หรือมีอาการเกี่ยวกับการอักเสบ ในช่องคอ ไม่ควรใช้เสียงมาก ควรหลีกเลี่ยงการไอเพราะ "การไอ" จะทำให้เส้นเสียงบีบตัวเพื่อกั้นลม ก่อนที่จะสะบัดและกระทบกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการระคายคอได้ง่าย หากรู้สึกระคายคอจน เลี่ยงไม่ได้ควรใช้การกระแอมช่วย ควรหยุดการใช้เสียงถ้าเป็นไปได้ เพราะการใช้เสียงมากๆ ขณะเกิดการอักเสบในช่องคอ อาจทำให้เกิด ตุ่มบริเวณเส้นเสียง ส่งผลให้เสียงของเราเปลี่ยนไปอย่างถาวรหรืออาจเกิดมะเร็งในบริเวณเส้นเสียงได้ 
7. เมื่อมีเสมหะอยู่ในลำคอ ไม่ควรขากแรงๆ เพราะจะทำให้เส้นเสียงเกิดการบีบตัวและสะบัดมากระทบกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้เกิดการระคายคอมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ควรดื่มน้ำให้มากๆเพื่อให้เสมหะเหลวและหลุดจากช่องคอได้ง่าย
8. หากเกิดความรู้สึกระคายเคืองในบริเวณช่องคอ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เส้นเสียงเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น
9. ยาอมชนิดต่างๆที่ช่วยลดอาการระคายคอ อาจเป็นสาเหตุให้ช่องคออักเสบ มากยิ่งขึ้นได้ เพราะการอมยาอมชนิดต่างๆ ที่ช่วยลดอาการระคายคอ จะทำให้ช่องคอรู้สึกโล่ง สบาย บางยี่ห้ออาจทำให้รู้สึกชา ทำให้เรารู้สึกว่าสบายขึ้น ดีขึ้น ซึ่งหากเราใช้เสียงในขณะนั้น จะทำให้เส้นเสียงยิ่งเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น เพราะช่องคอที่ชา ไม่ระคายเคือง ทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่าที่จริงแล้วช่องคอของเราอักเสบเพียงใด ดังนั้น เมื่ออมหรือทานยาที่ช่วยลดอาการระคายคอ จึงควรระลึกไว้อยู่เสมอว่าควรลดการใช้เสียง ตามไปด้วย




มาเรียนร้องเพลงกัน !!










ศิลปินคุณภาพ

เบน ชลาทิศ






 เจนนิเฟอร์ คิ้ม











รักในการร้องเพลง ก็ต้องรู้จักดูแลสุขภาพ และฝึกฝนเพื่อพัฒนา 

ศิลปินในอนาคตอาจเป็นคุณ