ยินดีต้อนรับสู่โลกของเสียงเพลง

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

The Voice


The Voice

การร้องเพลง




การร้องเพลง หรือ การขับร้อง คือการทำให้เกิดเสียงดนตรีจากเสียงและเสริมด้วยถ้อยคำทั้งระบบเสียงสูงต่ำและจังหวะ คนที่ขับร้องเพลงเรียกว่านักร้อง และนักร้องจะแสดงการขับร้องเพลง ซึ่งอาจจะร้องแบบอะแคปเปลา (ร้องโดยไม่ใช้ดนตรี) หรือมีนักดนตรี เครื่องดนตรีประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีตัวเดียวหรือเต็มวง การร้องนั้นส่วนใหญ่จะร้องร่วมการแสดงกับนักดนตรีกลุ่มอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคอรัสที่ร้องในเสียงที่แตกต่างกัน หรือกลุ่มนักเล่นดนตรี อย่างเช่นวงร็อกเป็นต้น

การร้องเพลงนั้นาอาจร้องแบบไม่เป็นทางการ ร้องเพื่อความบันเทิง อย่างเช่นร้องระหว่างการอาบน้ำ ร้องคาราโอเกะ หรือในบางกรณีร้องอย่างเป็นทางการ เช่นร้องในระหว่างพิธีทางศาสนา หรือนักร้องอาชีพร้องเพื่อแสดงบนเวทีหรือร้องในสตูดิโอ การร้องที่มีทักษะสูงหรือร้องในระดับอาชีพ มักจะต้องอาศัยความสามารถแต่กำเนิด การเรียนการสอน และการฝึกฝนนักร้องมืออาชีพจะสร้างหนทางสู่อาชีพด้วยการเป็นนักร้องในแนวเพลงต่าง ๆ อย่างเช่น นักร้องคลาสสิก นักร้องร็อก พวกเขาต้องฝึกทักษะการร้องในแนวเพลงนั้น ทั้งจากครูสอนร้องหรือโค้ชร้อง ในอาชีพของพวกเขา






       ปัจจุบันการร้องเพลงให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีเป็นสิ่งจำเป็นในการออกงานสังคมมาก เช่น
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มักถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลงในงานเลี้ยงที่เป็นทางการของ หน่วยงานต่าง ๆ 
หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การร้องเพลงเป็นจะช่วย
ให้ไม่อายผู้อื่น นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างมากในด้านการผ่อนคลายอารมณ์ตึง 
เครียดจากการงาน และยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่งด้วย และหากร้องเพลงได้ไพเราะ
ยังสามารถนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้่ตนเอง 

  ดังนั้นการฝึกร้องเพลงจำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักทฤษฎีและมีเทคนิคดังนี้


1. ท่าทาง 
การปฏิบัติที่ถูกต้องควรจะให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ คือยืนตรง เท้าวางห่างกันประมาณ 1 ฟุต 
เท้าขวาอยู่หน้าเล็กน้อย ให้รู้สึกว่ากระดูกสันหลังรับน้ำหนักทั้งหมด ฝึกหัดยกหัว เชิดหน้า 
ไหล่ตรง แขม่วท้อง หดสะโพก หลังตรง ไม่เกร็งตัว วางตัวตามสบายแต่ให้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง 
ควรยืนห่างจากไมโครโฟนประมาณ 12 - 15 นิ้ว ออกเสียงแต่พอควรไม่เบาหรือดังจนเกินไป 
สำหรับผู้ใช้เสียงจากลำคอต้องยืนใกล้ไมโครโฟนมากเพราะเสียงจะออกกังวานต่ำ และเบาแผ่ว 
จึงจำเป็นต้องยืนใกล้ไมโครโฟนเหมือนผู้ใช้เสียงจากนาสิก สำหรับผู้ใช้เสียงจากท้องเสียงจะดังมาก
ไม่ต้องอยู่ใกล้ไมโครโฟนเกินไป การฝึกหัดกับกระจกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะได้เห็นและ้ไข
สิ่งบกพร่องต่างๆ ให้ดีขึ้น และช่วยให้ไม่อายได้


2. การหายใจ
การร้องเพลงให้เสียงดีนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการหายใจที่ถูกต้อง ขณะหายใจลมจะผ่านหลอดเสียง
เกิดเป็นเสียงต่าง ๆ ขึ้น ถ้าการหายใจสม่ำเสมอเสียงร้องเพลงก็น่าจะสม่ำเสมอด้วย
ส่วนของร่างกายที่ช่วยบังคับลมหรือการหายใจเรียกว่ากระบังลม กระบังลมเป็นกล้ามเนื้อผืนใหญ่อยู่ใต้ปอด
และอยู่เหนือกระเพาะอาหารทางด้านหน้า ถ้าปอดแฟบแสดงว่าไม่มีอากาศ กระบังลมจะมีลักษณะเหมือนชามคว่ำ
ขณะที่หายใจออกกระบังลมจะดึงขึ้นไปดันปอดทำให้อากาศกลับออกมาผ่านไปตามลำ คอกระทบกับหลอดเสียง
ทำให้เกิดเสียงขึ้น นอกจากการขยายกระบังลมแล้ว ผู้ร้องยังใช้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยขยายโพรงอกคือการพองตัว
ทำให้ซี่โครง กางออกการฝึกหายใจ เริ่มด้วยการยืดอกและยืนตัวตรงให้แขนแนบลำตัว ไม่ควรยกไหล่
หายใจเข้าทางปากครึ่งหนึ่ง จมูกครึ่งหนึ่งพร้อม ๆ กันจะทำให้ไม่เกิดเสียงดัง โดยกระบังลมจะทำหน้าที่
ชะลอลมหายใจให้ออกช้าๆ คล้ายกับคาบูเรเตอร์ของเครื่องยนต์ ผู้ร้องจะต้องฝึกหัดหายใจเข้าออก
อย่างรวดเร็วแล้วปล่อยออกช้าๆ ให้ได้นานที่สุด
ข้อสำคัญก็คือ การหายใจเข้า ท้องจะป่องเพื่อเก็บลมและ การหายใจเข้าจะต้องหายใจก่อนเริ่มร้องพอดี
พยายามรักษาสุขภาพอย่าให้เป็นหวัด เจ็บคอหรือต่อมทอมซินอักเสบ อย่าขากเสมหะแรงๆ หรือสั่งน้ำมูกแรงๆ
อย่าดื่มสุราหรือสูบบุหรี่จัดจะทำให้ปอดและหลอดลมอักเสบ



                                                                                 



3. การจับเสียงและเข้าจังหวะ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
3.1 นึกเสียงที่จะร้องในใจ หมายถึงระดับเสียง เสียงสระความดังเบา
3.2 หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ เตรียมพร้อมที่จะเปล่งเสียงออกมา
3.3 ริมฝีปาก ้ม และขากรรไกรปล่อยตามสบาย
3.4 ลิ้นไม่กระดกหรือเกร็ง ปล่อยตามสบาย ให้ปลายลิ้นแตะกับฐานฟันล่างเล็กน้อย
3.5 การส่งลม การปรับหลอดเสียง การบังคับปากและการร้องจะเกิดขึ้น วินาทีเดียวกัน


4. คุณภาพของเสียง
ขึ้นอยู่กับหลอดเสียง กล่องเสียง ลำคอ กระพุ้งปาก ลิ้นและศรีษะ เมื่อสูดอากาศออก
อากาศจะผ่านหลอดเสียงทำให้หลอดเสียงสั่นเกิดเป็นเสียงขึ้นมา และเสียงก็จะผ่านลำคอ
และปาก ดังนั้นทั้งในปากและในศรีษะจะทำหน้าที่เป็นช่องขยายเสียง
ในขณะที่ ร้องเพลงจะรู้สึกเสียงพุ่งไปข้างหน้า และมี ?จุด? ที่เสียงรวมกันอยู่ที่หนึ่งที่ใดบนใบหน้า
พยายามให้ ?จุด? นี้ อยู่ที่แถวฟันเหนือปลายลิ้น ไม่ควรให้ ?จุด? นี้อยู่ในลำคอหรือโคนลิ้น
เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อแถวนั้นเกร็งและเสียงที่ออกมาจะไม่น่าฟัง การร้องเพลงควรคิดถึงบรรยากาศ
ที่สวยงามเบิกบานใจ อย่าเกร็งคอหรือหน้า อย่าเกร็งลิ้นหรือกระดกลิ้นขึ้นเพราะจะไปบังลำคอ
ทำให้เสียงที่ออกมาเกร็ง ฟังไม่ชัดและไม่ไพเราะ คือเสียงไม่มีคุณภาพนั่นเอง


5. การออกเสียงของสระและพยัญชนะ
ในการร้องเพลงผู้ร้องต้องคำนึงถึงองค์ ประกอบทั้งสอง คือการออกเสียงสระและพยัญชนะ
ถ้าปราศจากอันหนึ่งอันใดจะร้องเพลงไม่ได้ดีถึงแม้จะมีเสียงไพเราะก็ตามหลัก การร้องสระ แบ่งออกเป็น 4 ข้อคือ
(1) ออกเสียงสระให้ตรงตัว อย่าทำเสียงอื่นปนหรืออย่าออกเสียงผิดๆ
(2) ในการขับร้องหมู่ ผู้ร้องทุกคนควรออกเสียงสระให้เหมือนกัน
(3) สำหรับคำที่มีสระผสม (เช่น คำว่า ?เดียว? มีสระ2 ตัว คือ สระอี และสระอู)
ควรร้องสระเอา (ตัวหน้า) ตามค่าของตัวโน้ตไม่เน้นสระโอ (ตัวหลัง) จนเกินไป
(ในกรณีนี้ไม่เน้นสระอู จะร้องสระอีจนกว่าหมดค่าของโน้ตและสรุปคำด้วยสระอู)
(4) ร้องต่อสระคำหนึ่งไปยังอีกคำหนึ่งให้ต่อเนื่องกัน อย่าร้องขาดเป็นห้วงๆ
สำหรับการออกเสียงพยัญชนะ ผู้ร้องอาจจะปฏิบัติดังนี้คือ "พยายามร้องสระให้ยาวที่สุด
และร้องพยัญชนะให้สั้นที่สุดแต่ชัดเจน"


หลักการร้องพยัญชนะ แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ


(1) ถ้าคำใดขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ควรร้องพยัญชนะตรงจังหวะ อย่าร้องช้ากว่าจังหวะ
(2) ควรจะเปล่งเสียงพยัญชนะ เช่น เชอะ ฟัก ก่อนจังหวะของมันเล็กน้อย เมื่อจังหวะของมันมาถึง
เสียงที่ร้องจะได้ตรงจังหวะพอดี แล้วร้องสระของคำนั้นทีหลัง (พยัญชนะจะออกเสียงจากไรฟันและช่องข้างลิ้น)
(3) เนื่องจากสระเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการร้องเพลง ควรร้องพยัญชนะแต่ละตัวให้สั้น
(4) เปล่งเสียงพยัญชนะทางส่วนหน้าของปาก เพราะสะดวกในการเปล่งเสียงมากกว่าที่อื่น
และเพื่อให้ชัดเจนอย่าออกเสียงพยัญชนะจากโคนลิ้น
(5) ออกเสียงพยัญชนะทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พยัญชนะเป็นตัวเดียวกันสองตัว เช่น หนักแน่น


หลักการร้องเพลงเสียงต่ำ แบ่งออกเป็น 6 ข้อคือ


(1) ใช้เลียนแบบเช่นเดียวกับการพูด เสียงจะอยู่ที่ริมฝีปาก พยัญชนะและสระอยู่ที่ริมฝีปากไม่ใช่อยู่ในคอ
(2) เมื่อจะเริ่มร้องเสียงต่ำจะต้องเริ่มคิดเสียงสูงไว้
(3) ยิ่งเสียงลงต่ำช่องในปากจะเล็กลง ถ้าปากกว้างไปเสียงจะไม่มีกำลัง
(4) เวลาร้องเสียงต่ำไม่ควรร้องเสียงดัง
(5) บังคับลมและกำลังไว้ไม่ให้พลังออกมามากพร้อมกับเสียง เพราะจะทำให้เสียงหนักเกินไป
(6) ให้เสียงต่ำมีลักษณะก้องหรือสะท้อนกังวานออกมาคล้ายเสียงฮัม


หลักการร้องเพลงเสียงสูง แบ่งออกเป็น 5 ข้อคือ


(1) ใช้สมองหรือใช้ความคิดช่วยในการร้องเสียงสูง เช่น จะร้องเสียงซอลสูง ให้สมมุติว่าจะร้องเสียงสูงเท่ากับที่เคยร้องมาก่อน
(2) การร้องเสียงสูงต้องใช้พยัญชนะเร็วและชัด โดยใช้พลังของลมจากพยัญชนะถึงสระ
(3) การร้องเสียงสูงให้ปล่อยเสียงออกมาตามสบายโดยไม่ต้องบังคับ
(4) เมื่อร้องเสียงสูงให้ปล่อยขากรรไกร ปล่อยลิ้นตามสบาย อ้าปากกว้างไม่ต้องเงยหน้าและไม่เกร็ง
(5) ใช้พลังของลมจากกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง เอวและสะโพก แต่ใช้กล้ามเนื้อที่คอเปล่งหรือบังคับเสียง


6. อักขระ
เป็นสิ่งสำคัญในการร้องเพลง โดยเฉพาะคำควบกล้ำ คำสั้นยาว แต่ละคำล้วนมีความหมาย
เพราะบทเพลงแต่ละเพลงที่ถ่ายทอดจากจินตนาการของ นักแต่งเพลง ล้วนมีความหมายและ
อารมณ์อยู่ในตัวของมันเอง ผู้ร้องคือผู้ถ่ายทอดจินตนาการของบทเพลงนั้นๆ ถ้าไม่พิถีพิถัน
ด้านอักขระจะทำให้เพลงนั้นหมดความหมายและอารมณ์ทันที เช่น ฉันรักเธอ เป็น ฉันลักเธอ
ขี่ควายชมจันทร์ เป็น ขี่ฟายชมจันทร์ หนัก เป็น หนาก หรือ เพลง เป็น เพง



วิธีการดูแลรักษาเสียง



1. การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสียงของเรามีคุณภาพ ในแต่ละวัน ควรนอนพักผ่อนอย่างน้อย  6-8 ชั่วโมง
2. ไม่ดื่มสุรา/ของมึนเมา การดื่มสุราจะทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้นเสียงเกิดการขยายตัว ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้น เสียงแตกได้  
3. ไม่ควรสูบบุหรี่หรือสิ่งเสพติดใดๆ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้สารนิโคติน มาเคลือบบริเวณช่องคอ ทำให้เกิดการระคายคอได้
4. ควรดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือเล็กน้อย จะช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ
5. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมก่อนการร้องเพลง เพราะน้ำนมจะไปเคลือบเป็นเมือกบริเวณช่องคอ ทำให้เกิดอาการระคายคอ
6. ในกรณีที่เป็นหวัดและเกิดอาการ "ไอ" หรือมีอาการเกี่ยวกับการอักเสบ ในช่องคอ ไม่ควรใช้เสียงมาก ควรหลีกเลี่ยงการไอเพราะ "การไอ" จะทำให้เส้นเสียงบีบตัวเพื่อกั้นลม ก่อนที่จะสะบัดและกระทบกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการระคายคอได้ง่าย หากรู้สึกระคายคอจน เลี่ยงไม่ได้ควรใช้การกระแอมช่วย ควรหยุดการใช้เสียงถ้าเป็นไปได้ เพราะการใช้เสียงมากๆ ขณะเกิดการอักเสบในช่องคอ อาจทำให้เกิด ตุ่มบริเวณเส้นเสียง ส่งผลให้เสียงของเราเปลี่ยนไปอย่างถาวรหรืออาจเกิดมะเร็งในบริเวณเส้นเสียงได้ 
7. เมื่อมีเสมหะอยู่ในลำคอ ไม่ควรขากแรงๆ เพราะจะทำให้เส้นเสียงเกิดการบีบตัวและสะบัดมากระทบกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้เกิดการระคายคอมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ ควรดื่มน้ำให้มากๆเพื่อให้เสมหะเหลวและหลุดจากช่องคอได้ง่าย
8. หากเกิดความรู้สึกระคายเคืองในบริเวณช่องคอ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เส้นเสียงเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น
9. ยาอมชนิดต่างๆที่ช่วยลดอาการระคายคอ อาจเป็นสาเหตุให้ช่องคออักเสบ มากยิ่งขึ้นได้ เพราะการอมยาอมชนิดต่างๆ ที่ช่วยลดอาการระคายคอ จะทำให้ช่องคอรู้สึกโล่ง สบาย บางยี่ห้ออาจทำให้รู้สึกชา ทำให้เรารู้สึกว่าสบายขึ้น ดีขึ้น ซึ่งหากเราใช้เสียงในขณะนั้น จะทำให้เส้นเสียงยิ่งเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น เพราะช่องคอที่ชา ไม่ระคายเคือง ทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่าที่จริงแล้วช่องคอของเราอักเสบเพียงใด ดังนั้น เมื่ออมหรือทานยาที่ช่วยลดอาการระคายคอ จึงควรระลึกไว้อยู่เสมอว่าควรลดการใช้เสียง ตามไปด้วย




มาเรียนร้องเพลงกัน !!










ศิลปินคุณภาพ

เบน ชลาทิศ






 เจนนิเฟอร์ คิ้ม











รักในการร้องเพลง ก็ต้องรู้จักดูแลสุขภาพ และฝึกฝนเพื่อพัฒนา 

ศิลปินในอนาคตอาจเป็นคุณ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น